แม้จำเลยจะได้ให้การรับสารภาพในชั้นศาล  แต่เมื่อปรากฏแก่

ศาลฎีกาว่า  จำเลยไม่ได้กระทำความผิด หรือ จำเลยไม่เจตนากระทำความผิด หรือ การกระทำของจำเลย

ไม่เป็นความผิด  ศาลฎีกาก็เคยพิพากษายกฟ้องปล่อยตัวจำเลยไปหลายคดีแล้ว    ดังเช่น

ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2533  ซึ่งได้วินิจฉัยในข้อสำคัญว่า  “  จำเลยให้การรับสารภาพ

ภายหลังที่โจทก์สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว   แม้คดีนี้ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพ   ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคแรก   แต่เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด   ศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยอำนาจตาม

/ ประมวล

(๔๐ ก. )                                                                         ๓

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา 185 วรรคแรก ได้  ”

ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่  4177/2555 ซึ่งได้วินิจฉัยในข้อสำคัญว่า  “ แม้จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง

โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานประกอบตามประมวลกำหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ก็ตาม   แต่เมื่อโจทก์

สืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นแล้ว  ปรากฏข้อเท็จจริงว่า  โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง และโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็น

อาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ ทั้งมิได้นำสืบว่าจำเลยไม่ได้รับใบ

อนุญาตให้มีและพาอาวุธปืนดังที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ”

ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13516/2553 ซึ่งได้วินิจฉัยในข้อสำคัญว่า “คำให้การของจำเลย

ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นมีใจความว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ แต่จำเลยขอแถลงข้อเท็จจริง

ต่อศาลเป็นเรื่องจริงของคดีนี้ คือ จำเลยประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป วันเกิดเหตุจำเลยรับจ้าง ฮ. นำ

แผ่นวีซีดีมาส่งที่บริเวณคลองถม โดย ฮ. บอกจำเลยว่าเป็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ทั่วๆ ไป ซึ่งออกฉาย

ในโรงภาพยนตร์มาแล้วเหมือนกับที่เคยจ้างจำเลยมาส่งในครั้งก่อน จำเลยไม่ทราบได้ว่าเป็นแผ่น

วีซีดีลามก จำเลยถูก ฮ. หลอกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ส่วนข้อความต่อจากนั้นจำเลย

ขอให้ศาลชั้นต้นลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลย  ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวน

/ พิจารณา

พิจารณาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการตามคำให้การที่ยื่น

ต่อศาล โจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นเรื่อง

ที่จำเลยรับว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นความผิดตามฟ้องเท่านั้น จำเลยไม่รู้

ข้อเท็จจริงว่าแผ่นวีซีดีของกลางเป็นวัตถุหรือสิ่งลามก เท่ากับจำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนากระทำ

ความผิด คำให้การของจำเลยจึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นคำให้การรับสารภาพว่า จำเลยกระทำผิดจริง

ตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน คดีจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ ”

ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2540  ซึ่งได้วินิจฉัยว่า “ บทบัญญัติตามประมวล

กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ที่ว่าถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องให้ศาล

พิพากษาไปได้โดยไม่ต้องสืบพยานนั้นมิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วจะต้อง

พิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป  ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดหรือการกระทำของ

จำเลยไม่เป็นความผิดศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา185 โดยเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม กำหนด

อัตราโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป  ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้

กระทำผิดจริง  จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้คดีนี้  ศาลชั้นต้นสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ

ของจำเลยแล้ว  จึงพิพากษาคดีเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจนเป็นที่น่า

พอใจว่า  จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม  ดังนี้  จำเลย

จึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ว่า  พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิด   การที่

ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ   พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายขอให้จำเลย

/ พากลับ

(๔๐ ก. )                                                                         ๕

พากลับบ้านโดยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยออกไปแต่จำเลยไม่พาผู้เสียหายกลับบ้านแต่

พาไปที่บ้านเพื่อนจำเลยที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมผู้เสียหายพักอยู่ที่บ้านดังกล่าวหลายวัน

และจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหลายครั้ง  แสดงให้เห็นว่า ผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย  หากผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย  ผู้เสียหายก็มีโอกาสจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นได้  เพราะ

ก่อนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายไปที่อำเภอสามพรานจำเลยยังแวะบ้านเพื่อนจำเลยที่หนองแขมก่อนและปรากฏว่าบ้านที่อำเภอสามพรานที่ผู้เสียหายพักอยู่กับจำเลยนั้นมีคนอื่นอยู่ร่วมด้วย  ผู้เสียหายก็มิได้

ขอความช่วยเหลือ  แต่เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า ขณะที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้น  จำเลยมีความ

ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย  ดังนั้น  การที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 14 ปีเศษ จากกรุงเทพมหานครไปอำเภอสามพราน และได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการพรากเด็ก

อายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควร

จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสาม  ”

             ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3759/2563 ซึ่งได้วินิจฉัยว่า   “ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำ

ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น  แม้จำเลยให้การรับสารภาพ แต่โจทก์ยังมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐาน

มาสืบประกอบคำให้การรับสารภาพเพื่อให้ศาลรับฟังจนกว่าจะพอใจว่า จำเลยได้กระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176  หากศาลเห็นว่า  จำเลยมิได้กระทำผิดศาลย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไปตามมาตรา 185 วรรคหนึ่ง

อุทธรณ์จำเลยที่ว่า การกระทำของจำเลยที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพยังฟังไม่ได้ว่าเป็น

/ การกระทำ

การกระทำโดยมีเจตนาฆ่า  เท่ากับเป็นการอุทธรณ์ว่า  พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบ

มานั้นยังไม่เป็นที่พอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง โดยจำเลยมิได้

โต้แย้งยกข้อเท็จจริงอันใดขึ้นมาใหม่ จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ได้   หาได้ขัดแย้งกับคำรับสารภาพ

ของจำเลยไม่
จำเลยไม่ประสงค์จะใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายผู้ใด แต่ยิงเพื่อระบายความไม่พอใจที่มีต่อผู้เสียหาย

ที่ 1  กรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ไม่ว่าจะเป็นเจตนาโดยประสงค์ต่อผลหรือ

เล็งเห็นผล เช่นนี้ โจทก์ไม่อาจนำสืบประกอบคำรับสารภาพให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่าจำเลยได้

กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องจริง  ศาลต้องพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานนี้  ตาม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และ 185 วรรคหนึ่ง   จำเลยคงมี

ความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน ตามประมวลกฎหมาย

อาญา มาตรา 376 ตามฟ้องโจทก์  ”